พัฒนาการ IQ&EQ
พัฒนาการ IQ&EQ
» การร้องอาละวาด (Temper tantrums)
05 Jan 2015 12:05
 
Temper tantrums

การร้องอาละวาด (Temper tantrums)


                                                                                                                                                                                                      พญ.วรวรรณ จงสง่าวิทยาเลิศ


           การร้องอาละวาด หมายถึง พฤติกรรมแสดงความไม่พอใจ เช่น การกรีดร้อง ตะโกน กระทืบเท้า นอนดิ้นกับพื้น ฟาดแขนขา จนถึงทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น เพื่อระบายความโกรธหรือความคับข้องใจ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ควบคุมได้ยากในเด็กเล็ก

 

ระบาดวิทยา

         การร้องอาละวาดเป็นพัฒนาการปกติที่เด็กกำลังเรียนรู้การควบคุมตนเอง เริ่มพบได้ตั้งแต่อายุ 12 ถึง 18 เดือน พบบ่อยในช่วงอายุ 2 ถึง 3 ปี พบร้อยละ 50-80 มีการร้องอาละวาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในช่วงวัยนี้ และจะค่อยๆลดลงจนหายไปเมื่ออายุ 4 ปี การร้องอาละวาดรุนแรงพบประมาณร้อยละ 5 มักพบในเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีเศรษฐานะต่ำ


อาการ

           มักเริ่มจากความโกรธ ไม่พอใจ ตามมาด้วยการร้องไห้รุนแรง ล้มตัวนอนกับพื้น ฟาดแขนขาไปมา อาจทำร้ายตนเองหรือคนอื่น บางคนร้องมากจนเกิดการร้องกลั้น (breath holding spell) ส่วนใหญ่การร้องอาละวาดใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที เนื่องจากการร้องอาละวาดอาจเป็นพัฒนาการปกติตามวัยหรือเป็นการร้องอาละวาดที่เป็นปัญหา ผู้ปกครองควรทราบลักษณะของการอาละวาดที่เป็นปัญหา


การร้องอาละวาดที่เป็นปัญหา

1. พ่อแม่คิดว่าเป็นปัญหา หรือเกิดขึ้นบ่อยที่โรงเรียน
2. ร้องตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน แต่ละครั้งร้องนานเกิน 15 นาที
3. มีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆร่วมด้วย เช่น ปัญหาการนอน ปัญหาการเรียน ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน
4. มีการทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่นร่วมด้วย


ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการร้องอาละวาด

1. โรคหรือการเจ็บป่วยทางกาย

               ปัญหาโรคต่างๆเช่น ภูมิแพ้ ภาวะติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ หูอักเสบ โรงระบบทางเดินอาหาร การนอนไม่พอจากปัญหาการนอนกรม การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลย่อยๆส่งผลให้เด็กรู้สึกไม่สบาย เหนื่อยหรือง่วง การได้รับยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาภูมิแพ้ เป็นต้น อาจทำให้เด็กง่วงนอนและร้องอาละวาดได้บ่อย

2. โรคหรือปัญหาทางพัฒนาการหรือพฤติกรรม

               ตามพัฒนาการปกติของเด็กอายุ 2-3 ขวบ จะมีความรู้สึกอยากเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) ยังเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถแสดงความต้องการของตนเองได้ดีนัก ดังนั้นเมื่อเด็กเกิดความคับข้องใจก็จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
               ส่วนในเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางพัฒนาการ เช่น ภาวะออทิสติก สติปัญญาบกพร่อง ซน สมาธิสั้น ปัญหาทางสายตาหรือการได้ยินที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย พัฒนาการทางภาษาล่าช้า ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อการร้องอาละวาดมากขึ้น

3. พื้นอารมณ์

               เด็กที่มีพื้นอารมณ์แบบเลี้ยงยาก (Difficult temperament) คือ มีจังหวะการนอน การกิน หรือการขับถ่ายไม่เป็นเวลา ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงยาก อารมณ์หงุดหงิดง่าย มีความอดทนต่ำ ความรู้สึกไวต่อสิ่งเร้าวงจรการนอนและความหิวไม่สม่ำเสมอ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการร้องอาละวาด หากผู้ปกครองตอบสนองต่อความต้องการไม่เหมาะสมก็จะยิ่งกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมากขึ้น

4. การเลี้ยงดู

               การเลี้ยงดูแบบตามใจมากหรือเข้มงวดมากเกินไป พ่อแม่มีอารมณ์ทางลบอย่างรุนแรงต่อเด็ก ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ไม่ดี ใช้วิธีลงโทษที่รุนแรง การมีข้อจำกัดแบบไม่สม่ำเสมอ หรือพ่อแม่ที่เป็นโรคซึมเศร้า ใช้สารเสพติด จะทำให้เด็กหงุดหงิดไม่พอใจได้ง่าย เด็กเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมจากพ่อแม่ นำไปสู่การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในตัวเด็กและปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวได้

 

การช่วยเหลือ

                การให้ความรู้กับพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ ควรอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจว่าการร้องอาละวาดเป็นพฤติกรรมที่ปกติของเด็กวัยนี้ และจะหายไปหากได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม หากมีปัจจัยที่ทำให้เกิดการร้องอาละวาดควรแก้ไข เช่น เด็กพูดช้าควรส่งฝึกพูด มีภาวะหรือโรคทางกาย ก็ควรรักษาภาวะเหล่านั้น เป็นต้น

 

การป้องกันการร้องอาละวาด การแก้ไขขณะเกิดการร้องอาละวาด

• กำหนดขอบเขตของสิ่งที่ทำได้หรือทำไม่ได้ให้ชัดเจน เหมาะสมกับอายุของเด็ก และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดนั้นอย่างสม่ำเสมอ
• จัดกิจวัตรประจำวันให้เป็นเวลา โดยเฉพาะการกินและการนอน
• การให้เด็กเลิกกิจกรรมที่เด็กสนใจ เช่น ให้เลิกเล่น อาจกระตุ้นให้เด็กไม่พอใจ ควรเตือนเด็กล่วงหน้าก่อนจะให้เด็กเลิกกิจกรรมนั้น
• หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เด็กหงุดหงิดหากเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่นการทำกิจกรรมที่เกินตามสามารถตามวัยของเด็ก หากเด็กเริ่มหงุดหงิดพยายามเบี่ยงเบนเด็กให้สนใจอย่างอื่นแทน
• สอนเด็กให้ใช้คำพูดแสดงความรู้สึกหรือความต้องการแทนการแสดงออกทางกาย
• เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกบ้าง และตัวเลือกนั้นพ่อแม่ต้องยอมรับได้
• พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูความเป็นตัวอย่างที่ดีของการควบคุมอารมณ์ ไม่ต่อว่าเด็กด้วยอารมณ์หรือลงโทษด้วยวิธีที่รุนแรง
• ควรให้ความสนใจทางบวกแก่เด็กอย่างสม่ำเสมอ เช่น ชมเชยหากเด็กมีพฤติกรรมที่ดี เพื่อให้เด็กมีแรงจูงใจที่จะทำพฤติกรรมที่ดีมากขึ้น • พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูควรนิ่งสงบไม่ควรตะโกนหรือแสดงอาการโกรธให้เด็กเห็น จะยิ่งทำให้การร้องอาละวาดเป็นมากขึ้น
• อาจใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจในช่วงแรกโดยเฉพาะเด็กเล็ก หากไม่ได้ผลควรวางเฉย อาจยืนอยู่ห่างๆโดยไม่ต้องพูดหรือสนใจจนกว่าเด็กจะสงบลง
• ในเด็กโตควรแยกให้เด็กอยู่คนเดียว (time-out) และเก็บสิ่งของที่อาจเป็นอันตรายให้พ้นมือเด็ก
• หากเด็กทำร้ายตนเอง ผู้อื่นหรือข้าวของให้จับเด็กออกมาจากบริเวณนั้น กาดหรือจับมือเด็กไว้จนกว่าเด็กจะสงบ
• เมื่อเด็กสงบแล้วให้เข้าไปคุยกับเด็กตามปกติ หากเป็นเด็กโต อาจพูดคุยถึงสิ่งเกิดขึ้นและวิธีการแก้ไขต่อไป
• หากเด็กร้องเพราะไม่ต้องการทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น ไม่อยากเข้านอน ควรยืนยันในสิ่งที่เด็กต้องทำแม้ว่าเด็กกำลังร้องอาละวาดอยู่ เพราะหากยืดเวลาออกไปจะทำให้เด็กใช้พฤติกรรมนี้ทุกครั้งที่รู้สึกคับข้องใจ
• ไม่ควรลงโทษรุนแรงเมื่อเด็กร้องอาละวาด เพราะจะทำให้เด็กโกรธและหงุดหงิดมากขึ้น

               จากที่กล่าวมาจะพบว่าการร้องอาละวาดเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการปกติ พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูควรมีความรู้ความเข้าใจในการสังเกตลักษณะการร้องอาละวาดที่เป็นปัญหา ตลอดจนวิธีการที่เหมาะสมในการป้องกันและแก้ไขขณะที่เด็กอาละวาด หากเด็กได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมการร้องอาละวาดจะดีขึ้นจนค่อยๆหายไปได้

 

เอกสารอ้างอิง
1. วิรงรอง อรัญนารถ. ปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อยในเด็กวัยแรเกิดถึง 3 ปี. ตำราพัฒนาการเด็กและพฤติกรรมเด็ก เล่ม 3, 2556 : 215-225



เนื้อหาอื่นๆ
การอ่านดีกับลูกอย่างไร
การอ่านเป็นประตูสู่โลกจินตนาการของคนได้ทุกวัย
อ่านต่อ..
เล่นแบบไทยๆ ก็เสริมพัฒนาการลูกได้
“การเล่น” มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง และส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเด็ก
อ่านต่อ..
‘จ๊ะเอ๋’ กิจกรรมง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูก
เชื่อว่าทุกครอบครัวคงเคยเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกหลานหรือเด็กเล็กกันมาแล้วทั้งนั้น
อ่านต่อ..
สูตรลับ...เสริมพัฒนาลูกน้อย
คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกลูกโดยเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวเริ่มจากเรื่องใกล้ตัว คือ กิจวัตรประจำวัน
อ่านต่อ..